พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พระราหุล

ทำใจเหมือน ดิน น้ำ ลม ไฟ

Card image cap

ทรงให้พระราหุล ทำใจเหมือนดินน้ำไฟลม

 
 พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน เมืองสาวัตถี ได้ตรัสสสอนพระราหุล
ถึงการพิจารณาธาตุ ๕ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม และอากาศ โดยแยกออกเป็นส่วน ๆ ตอนท้าย 
ได้ตรัสให้พระราหุลทำใจเหมือน ดิน น้ำ ไฟ ลม และอากาศ พอสรุปเป็นใจความได้ดังนี้

๑. ราหุล ! เธอจงทำจิตให้เหมือนแผ่นดินเถิด 
เพราะเมื่อเธอทำจิตให้เหมือนแผ่นดินเป็นประจำอยู่เสมอแล้ว 
เมื่อกระทบอารมณ์ ที่ชอบใจหรือไม่ชอบใจก็ดี 
อารมณ์เหล่านั้นจะไม่สามารถทำให้จิตใจหวั่นไหวได้


ราหุล ! เปรียบเสมือนคนทั้งหลาย ทิ้งสิ่งของที่สะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง 
ถ่ายอุจจาระรดบ้าง ถ่ายปัสสาวะรดบ้าง บ้วนน้ำลายรดบ้าง เทสิ่งของสกปรกอื่นลงบ้าง 
ลงที่แผ่นดิน แต่แผ่นดินจะอึดอัดระอา หรือรังเกียจด้วยสิ่งของนั้น ๆ ก็หาไม่ ฉันใด ?


 ราหุล ! เธอจงทำจิตให้เสมอแผ่นดินฉันนั้นแล 
เพราะเมื่อ่เธอทำจิตให้เหมือนแผ่นดินอยู่ 
เมื่อมีการกระทบกับอารมณ์เกิดขึ้น 
ความรักหรือความชัง ก็จะไม่สามารถครอบงำจิตเธอได้ฉันนั้น



 ๒. ราหุล ! เธอจงทำจิตให้เหมือนน้ำเถิด 
เมื่อเธอทำจิตให้เหมือนน้ำแล้ว 
จะไม่เกิดความชอบหรือความชัง ครอบงำจิตได้

ราหุล ! เปรียบเหมือนคนทั้งหลาย 
ล้างของหรือทิ้งของที่สะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้างลงในน้ำ 
น้ำจะอึดอัดระอาหรือรังเกียจด้วยของนั้น ๆ ก็หาไม่ ฉันใด ?


ราหุล ! เธอจงทำจิตให้เสมอด้วยน้ำฉันนั้นแล 
เมื่อกระทบอารมณ์แล้ว 
ความชอบและความชัง จะไม่สามารถครอบงำจิตเธอได้ฉันนั้น.



 ๓. ราหุล ! เธอจงทำจิตให้เหมือนไฟเถิด 
เพราะไฟนั้น เมื่อมีผู้ทิ้งของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง 
ทิ้งอุจจาระ ปัสสาวะบ้างฯ 
ไฟจะรู้สึกอึดอัดระอาหรือรังเกียจด้วยสิ่งนั้น ๆ ก็หาไม่ ฉันใด ?


 ราหุล ! เมื่อเธอทำจิตให้เหมือนด้วยไฟอยู่ 
การกระทบกับสิ่งที่ชอบและชังก็ย่อมจะไม่ปรุงแต่งให้จิตแปรปรวนได้ ฉันนั้น.


 ๔. ราหุล ! เธอจงทำจิตให้เหมือนลมเถิด 
เพราะลมนั้นย่อมพัดไปถูกต้องของสะอาดบ้างไม่สะอาดบ้าง 
พัดถูกอุจจาระ ปัสสาวะบ้างฯ 
ลมจะรู้สึกอึดอัดระอาหรือรังเกียจต่อสิ่งเหล่านั้นก็หาไม่ ฉันใด ?


 ราหุล ! เมื่อเธอทำจิตให้เหมือนด้วยลมอยู่ 
การกระทบกับสิ่งที่ชอบและชังก็ย่อมจะไมปรุงแต่งให้จิตของเธอแปรปรวนได้ฉันนั้น.


 ๕. ราหุล ! เธอจงทำจิตให้เหมือนอากาศเถิด 
เพราะอากาศนั้นไม่ตั้งอยู่ในที่ไหน ฉันใด ?

 ราหุล ! เมื่อเธอทำจิตให้เหมือนด้วยอากาศอยู่ตลอดเวลาแล้ว 
เมื่อกระทบกับอารมณ์ย่อมจะไม่เกิดความชอบและความชังขึ้นได้ ฉันนั้น”

 (มหาราหุโลวาทสูตร ๑๓/๑๒๖)
 
 
พระสูตรนี้ เหมาะกับเป็นหลักคิดของท่านใดบ้าง ? 


ผู้ที่มีทิฏฐิ มานะ อัตตา และโทสะจริต น่าจะลองนำเอาคำสอน 
ในพระสูตรนี้ไปใช้เป็นประจำ 
เพื่อลดความโทมนัส น้อยใจหรือขัดเคืองใจ 
เมื่อเห็นว่าผู้อื่นล่วงเกินแล้ว ทำให้เกิดความไม่สบายใจ หงุดหงิดหรือรำคาญใจ

 แม้ทำไม่ได้เด็ดขาดตามพระสูตรนี้ ถ้าเราได้หัดทำอยู่เสมอ ๆ 
มีสติสัมปชัญญะระวังจิต ไม่ปล่อยไปตามอารมณ์ที่มากระทบ 
จิตของเราก็จะสงบ นั่นก็คือจุดหมายปลายทางของความสุขที่ทุกคนปรารถนา 
แม้ได้รับเพียงครั้งคราว ก็นับว่าประเสริฐสุดแล้ว.


เขียนบทความเมื่อวันที่ 22 / June / 2019